ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่
จาก “นักวิทยาศาสตร์นาซ่า” สู่ “ชาวสวน” ชีวิตแสนสุขของดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
ในวัยเด็ก หลายท่านคงเคยมีความฝัน วาดหวังอยากทำอาชีพที่ตนชื่นชอบ และเราเชื่อเหลือเกิน ว่า วิศวกร คงเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่หลายคน (โดยเฉพาะหนุ่มๆ) ใฝ่ฝันถึง…
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าได้เป็นวิศวกรในองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่าง “องค์การนาซ่า” (NASA) ด้วยแล้ว มันช่างดูเก๋ ดูเท่ห์ จนหลายคนคิดว่าได้เท่านี้ก็ถือว่ามีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว
ทว่าการได้เป็นวิศวกรในองค์กรระดับโลก กลับไม่ใช่จุดสูงสุดในชีวิตของ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ เพราะหนุ่มใหญ่คนนี้ บอกกับเราว่าการได้มาเป็นชาวไร่ ชาวสวน ทำให้ทุกวันนี้เขามีความสุขและอิ่มเอมใจ มากยิ่งกว่าเมื่อครั้งเป็นวิศวกรในองค์การนาซ่าเสียอีก
ดร.วรภัทร์ ย้อนความให้ฟังว่า หลังทำงานกับองค์การนาซ่าได้ 6 ปี เขาโบกมือลาจากองค์กรระดับโลก กลับเมืองไทยมาเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 6 ปี จากนั้นจึงเข้าสู่แวดวงธุรกิจ ด้วยการเป็นผู้ให้คำปรึกษา และสอนหลักบริหารองค์กรแนวพุทธให้กับบริษัทชั้นนำต่างๆ กระทั่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังจากได้เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เขาจึงเริ่มพลิกผันชีวิต ย่างก้าวเข้าสู่วิถีพอเพียง ตามแนวทางพ่อหลวง
“ความพอเพียงของผมอย่างแรกคือ หน้าที่ต้องเต็มที่ก่อน หน้าที่ของผมก็คือ เป็นสามี เป็นพ่อ และลูกเขย หน้าที่ตรงนี้ต้องให้พร้อม เราต้องดูแลครอบครัวเราให้เต็มที่ ที่เหลือก็คือ ทำตนเป็นตัวอย่าง นั่นคือผมทำตามที่ในหลวงทรงสอนไว้ โดยการไปทดลองซื้อที่ดินไว้ 4 ไร่ ที่ปากช่อง แล้วลองทำเป็นเกษตรวิถีพอเพียง เลี้ยงแพะ เลี้ยงไก่ ปลูกต้นไม้ สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง
พอทำด้วยตัวเองมา 4 ปี จะรู้เลยว่า ในหลวงท่านทรงมีพระปรีชาสามารถมาก เพราะคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อลงมือทำถึงจะรู้จริง หากเอาแต่พูดไม่ทางเข้าใจคำว่าพอเพียงเด็ดขาด ซึ่งจนถึงวันนี้ผมลองผิดลองถูก จนได้ความรู้มาพอสมควร ถ้าใครอยากจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ เราก็เต็มใจสอนให้
การที่ผมเปลี่ยนมาทำไร่ทำสวน เพราะความเชื่อ ผมเปลี่ยนศาสนาจากคริสต์มาเป็นพุทธ เพราะเห็นว่าในหลวงท่านทรงพระปรีชามาก ท่านฉลาดกว่าเรา เรียนสูงกว่าเรา ท่านยังสนใจด้านศาสนาพุทธเลย ฉะนั้นเราน่าจะลองดำเนินรอยตามพระองค์ท่านดูสักตั้ง ผมก็เลยลองมาศึกษาศาสนาพุทธดู พอมาศึกษา ผมก็รู้สึกว่า โอ้โห! มันสุดยอด
ต่อมาเราก็มานั่งดูว่า ในหลวงท่านเป็นวิศวกร เราก็เป็นวิศวกร ในหลวงปลูกต้นไม้ ทรงเป็นวิศวกร แต่หันมาปลูกต้นไม้ แล้วทำไมเราจะไม่ปลูกล่ะ เพราะที่ผ่านมาพระองค์ท่านสอนแต่ละเรื่องมันสุดยอดทั้งนั้น ดังนั้นเรื่องนี้มันก็ต้องดีแน่”
หันมาทำสวน เพราะชีวิตต้องบริหารความเสี่ยง
อดีตวิศวกรองค์การนาซ่าเล่าต่อว่า การดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง หันมาปลูกต้นไม้ ทำไร่ ทำสวนของเขาถือเป็นการบริหารความเสี่ยงให้ชีวิตตัวเอง
“ชีวิตมันต้องมีการบริหารความเสี่ยง เครื่องยนต์ของเครื่องบินยังมีตั้ง 2 ชุด ธนาคารยังต้องมีเงินสำรอง รถยนต์ยังต้องมียางอะไหล่ แล้วเรามีอะไรล่ะ
ฉะนั้นผมว่าการไปทำไร่ทำสวนที่ต่างจังหวัดมันเป็นการบริหารความเสี่ยงในชีวิตของผมได้ เพราะเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้ากรุงเทพฯ จะเป็นอย่างไร
ผมคิดว่าหลายคนก็มีความคิดอยากไปใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนกัน แต่ส่วนหนึ่งที่ยังติดอยู่ในเมืองใหญ่ อาจเพราะหนึ่ง-ไม่ออกไปดูโลกกว้าง สอง-กลัว ไม่กล้าไป ก็ไม่เป็นไร
ผมแนะนำจากตัวเองแล้วกันว่า สมมุติถ้าเป็นผมยังอยู่ในออฟฟิศในตอนนี้ ผมก็ต้องเริ่มต้นแล้ว อาจจะปลูกต้นไม้ตามระเบียง เริ่มปลูกโน่นปลูกนี่ และหาทางหนีออกจากรุงเทพฯ ให้ได้ ทำไมชีวิตต้องมาจมอยู่กับเมืองใหญ่ เมืองซึ่งไม่ได้มีความพร้อมในการให้มนุษย์อยู่ได้เลย ต้นไม้ก็น้อย การระบายน้ำก็ไม่ดี อากาศก็ไม่ได้เรื่อง อาหารต่างๆ ผมว่ามันเป็นพิษเยอะ แล้วมาอยู่ทำอะไรล่ะ หมดเวลาบนรถยนต์วันละ 2-3 ชั่วโมง มันเหนื่อยมั้ย”
ความสุขเรียบง่าย ในวิถีชาวสวน
ปัจจุบัน ดร.วรภัทร์ ยังคงรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างๆ อยู่บ้าง รวมถึงมีผลงานพ็อกเก็ตบุ๊ค (pocket book) ออกจำหน่าย และแม้ว่าจะยังต้องอยู่กรุงเทพฯ เพื่อดูแลภรรยา และลูกๆ แต่ทุกสุดสัปดาห์ ครอบครัวภู่เจริญก็จะพร้อมใจกันเดินทางไปใช้ชีวิตตามวิถีชาวสวนอยู่เสมอ
“ทุกวันนี้ผมเขียนหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คบ้าง รวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทต่างๆ ด้วย แต่ถ้าว่างก็จะไปอยู่ที่ไร่เสมอ ตอนนี้ผมยังต้องเดินทางไปๆ มาๆ กรุงเทพฯ กับสระบุรี เพราะอย่างที่ผมบอกว่า หน้าที่ต้องมาก่อน
ดังนั้นหน้าที่ของผมคือ ดูแลลูกและภรรยา ซึ่งตอนนี้พวกเขายังอยู่กรุงเทพฯ เราก็ต้องมาดูแล พอวันหยุด หรือทุกเสาร์-อาทิตย์ ก็จะพากันไปอยู่ที่ไร่ ค่อยๆ เริ่มไปอย่างนี้ และคิดว่าต่อไปก็คงจะเริ่มไปอยู่ที่ไร่มากขึ้นเรื่อยๆ
ความสุขที่ได้จาก 4 ปีที่ทำเศรษฐกิจพอเพียงมา ผมรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรง ได้เจอกับอากาศสดใส หน้าไม่เหี่ยวย่นเร็ว รวมถึงมีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม เพราะเราได้เข้าวัดที่ต่างจัดหวัดบ่อยๆ และได้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินด้วยการปลูกต้นไม้ รวมถึงเรายังได้บริหารความเสี่ยงให้ตัวเองด้วย เพราะผมคิดว่าภัยพิบัติธรรมชาติมันจะรุนแรงขึ้นทุกที เพราะมนุษย์ยังไม่หยุดพฤติกรรมทำร้ายธรรมชาติ
ดังนั้นผมว่าเราควรจะต้องมาคิดกันใหม่แล้วล่ะ โดยส่วนตัวผมว่าตัดสินใจช้าไปด้วยซ้ำ น่าจะหันมาทำไร่ ทำสวนทำเร็วกว่านี้ ตอนนี้อายุ 52 แล้วทำอะไรได้น้อยลง ถ้าทำตั้งแต่ 22 ป่านนี้รุ่งไปแล้ว” ด็อกเตอร์หนุ่ม เล่าอย่างอารมณ์ดี
ชวนหลบลี้เมืองใหญ่ ใช้ชีวิตพอเพียง ตามแนวทางพ่อหลวง
เมื่อตัวเองหันเหไปทำไร่ ทำสวน แล้วพบความสุข วิศวกรหัวใจพอเพียงผู้นี้ จึงไม่ลืมที่จะชักชวน ชาวกรุงฯ หนุ่มสาวออฟฟิศ (office) ลองหันกลับไปหาความเรียบง่าย ตามวิถีพอเพียงในต่างจังหวัดบ้าง
“สุขภาพของผู้คนทำงานออฟฟิศทั้งหลาย ผมว่าน่ากลัวนะ เอาชีวิตมาอยู่กับสารเคมี วันๆ ทานอะไรเข้าไปมีสารเคมีมากแค่ไหนก็ไม่รู้ ขึ้นรถเมล์เดินทางเสี่ยงตายกันทุกวัน เวลาที่ควรจะเอาไปดูแลลูกก็หมดไปกับเรื่องงาน ประสบความสำเร็จในออฟฟิศ แต่ล้มเหลวในครอบครัว ประสบความสำเร็จในการหาเงิน แต่ล้มเหลวในการดูแลร่างกาย ประสบความสำเร็จทางโลก แต่ล้มเหลวทางธรรม เข้ามาในเมืองใหญ่ทำงานงกๆ ถูกเจ้านายโขกสับทั้งวัน สุดท้ายตอนแก่เงินเก็บก็เอาไปเข้าโรงพยาบาลหมด ถามว่ามาใช้ชีวิตแบบนี้เพื่ออะไร เหงาไปวันๆ ถึงเวลามีเงินเก็บก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด เล่นเฟซบุ๊ก (Facebook) ถ่ายรูปกลับมา แค่นั้นเองหรือ
ฉะนั้นถือโอกาสเริ่มต้นปีใหม่ ลองเปลี่ยนมุมตัวเองเสียบ้าง เป็นหนุ่มสาวออฟฟิศมานานแล้ว ผมว่ามันเป็นชีวิตเชิงเดี่ยวเกินไป คนเราน่าจะทำอะไรที่มันหลายๆ อย่าง บริหารความเสี่ยงให้ตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น น่าจะไปลองใช้วิถีชีวิตชนบทบ้าง ลองไปเลี้ยงไก่ เลี้ยงแพะ ไปลองทำเศรษฐกิจพอเพียง ผมว่าเราอาจจะถูกสังคมเมืองดึงหลงเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ พอวันนึงมีภัยพิบัตธรรมชาติมา เราก็เตรียมตัวไม่ทัน
ดังนั้นผมว่าเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง มันต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ไม่ถึงกับต้องไปซื้อที่ดินต่างจังหวัดหรอก เพราะมันอาจจะมีราคาแพง เราอาจจะใช้วิธีกลับไปหาพ่อหาแม่ตัวเอง ทำกินบนที่ดินที่มีอยู่เดิมนั่นแหละ หรือถ้าไม่มีใครอยู่ต่างจังหวัด ก็อาจจะหัดไปอยู่วัดป่า ถือศีลแปด ไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดต่างจังหวัด ไปปฏิบัติธรรมบ้าง ลองปรับลองเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ให้เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าจะให้ดี ก็ย้ำว่าควรจะเริ่มต้นปรับเปลี่ยนได้แล้ว” ดร. วรภัทร์ ฝากข้อคิดทิ้งท้าย
เรื่องโดย Lady Manager
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่
http://whitemkt-consultant.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น